EIC ธนาคารแหลมทองการค้าขายพูดบทวิเคราะห์เศรษฐกิจ ข้างหลังเปลี่ยนเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐอเมริกา

Economic Intelligence Centre ธนาคารแหลมทองพาณิชย์ ปริปากบทวิเคราะห์เศรษฐกิจ ข้างหลังเปลี่ยนการเลือกตั้งกลางๆภาคเรียนแห่งหนอเมริกา บอกแนวนโยบายกันทางการค้าจีนคงอีกต่างหากประกอบด้วยอยู่และมีผลสม่ำเสมอจรดพรรษา 2019ข้อมูลออกการนับคะแนนเบื้องต้นในการเลือกตั้งกลางเทอมสหรัฐอเมริกา ในวันที่ 6 พฤศจิกายน 2018 (ข้อมูลออกงานนับคะแนนอีกต่างหากไม่เสร็จในใสประเทศชาติ) พูดแหวพรรคเดโมแครตสมรรถคว้าชัยคว้าคะแนนเสียงถือครองบัลลังก์ส่วนมากในสภาผู้แทนราษฎรซึ่งพอดีนั่งลง 223 คน ขณะเมื่อกลุ่มรีพับลิกันซึ่งเป็นก๊กสังกัดสิ่งของผู้นำทรัมป์ได้ที่นั่งลง 197 มนุช อย่างไรก็ตาม หมู่รีพับลิกันยังคงถือครองเสียงข้างมากณสภาขุนนางซึ่งหมู่รีพับลิกันพอดีนั่ง 51 มนุช ขณะเมื่อพรรคเดโมแครตพอดีนั่ง 46 มนุช (ร่วมสมาชิกวุฒิสภาแห่งหนไม่สังกัดพรรคการเมือง) ทำให้ที่ประชุมคองเกรสณอีก 2 ปีข้างหน้าอยู่ในสถานะแห่งหนผู้ปกครองกับดักเสียงส่วนมากในสภาผู้แทนราษฎรไม่ไหวมาจากหมู่เดียวกัน Analysis เอาท์พุตการเลือกตั้งที่มีเสียงข้างมากที่สภาผู้แทนราษฎรและสภาสูงมาจากคนละกลุ่มซึ่งเป็นไปตามแห่งหนตลาดกะตลาดการเงินพื้นแผ่นดินณทั้งมวลสนองตอบในชายทด ณการเลือกตั้งครั้งนี้ กอปรเจียรอีกด้วยการเลือกเฟ้นผู้แทนทั้งผอง 435 มนุษย์ จากผลการนับคะแนนบอกตวาดพรรคเดโมแครตพอดีนั่งลงส่วนใหญ่ณสภาผู้แทนราษฎรกับได้ที่นั่งเลยกึ่ง (218 คน) เจียรอย่างน้อย 5 คน ทั้งๆ ที่สภาขุนนางมีการเลือกตั้งพ่าง 1 ณ 3 สิ่งของวุฒิสมาชิกทั้งหมด 100 มนุษย์ ซึ่งข้อมูลออกแต้มกลุ่มรีพับลิกันยังคงครอบครองเสียงส่วนมากที่สภาสูง เพราะว่าประกอบด้วยบุษบกยิ่งกว่าพรรคเดโมแครตอย่างน้อย 2 คน (รูปแห่ง 1) ซึ่งข้อมูลออกการเลือกตั้งค่อนข้างเป็นไปตามแห่งท้องตลาดทำนายไว้ เป็นเหตุให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ S&P 500 ปรับสูงขึ้นไป 2.12% กับตลาดค้าหุ้นทั่วโลกในทั้งมวลตอบสนองที่ชายทดจากงานแห่งหนนักลงทุนขยายความกังวลเกี่ยวผลการเลือกตั้ง ขณะเมื่อดัชนีค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ดับตลาดไร้เดียงสาค่าเล็กน้อย 0.12% เกี่ยวกับเงินบาททาบดอลลาร์อเมริกา ยังคงเคลื่อนไหวแข็งค่าเล็กน้อยลงมาอยู่แห่งดัง 32.88 เท้าประกบดอลลาร์สหรัฐอเมริกา ข้อมูลออกการเลือกตั้งกลางภาคเรียนไม่ไหวส่งผลทาบแนวนโยบายการค้าสิ่งของอเมริกาโดยตรงตามที่นโยบายการขายครอบครองอำนาจวิเศษสิ่งของประธานาธิบดี แต่ก๊กรีพับลิกันจักเสียเสียงส่วนมากในสภาผู้แทนราษฎรให้แก่พรรคเดโมแครต แต่ว่าด้วยเหตุที่แนวนโยบายการค้าของสหรัฐฯ รวมถึงมาตรการเกียดกันเชิงพาณิชย์เป็นสิทธิของประธานาธิบดีโดยตรง ซึ่งยุคปัจจุบันงานใช้คืนมาตรา 301 ของกฎหมายการขายอเมริกา (Trade Act of 1947) กับมาตรา 232 สรรพสิ่งเทศบัญญัติการคลายการค้าสหรัฐฯ (Trade Expansion Act of 1962) ผู้ปกครองสมรรถออกคำสั่งเยี่ยมได้มาเพราะไม่ต้องผ่านการรับรองขนมจากที่ประชุมพรรคคองเกรส ทำให้ผลการเลือกตั้งกลางเทอมคราวนี้ไม่ไหวมีผลดามทิศทางความสัมพันธ์ด้วยกันนโยบายการขายระหว่างอเมริกา และเมืองจีนคราวหลังการเลือกตั้ง โดยเฉพาะมาตรการขึ้นไปภาษีขาเข้าผลิตภัณฑ์ประเทศจีนตามมาเครื่องหมายการค้า 301 แห่งสมาชิกชไมกลุ่มณที่ประชุมพรรคคองเกรสเห็นด้วยที่ข้อเสนอแนะการค้าขายแห่งหนไม่เที่ยงตรงของเมืองจีนดามสหรัฐอเมริกา จากข้อคิดงานควบคุมถ่ายโอนเทคโนโลยี เติมกับดักความมุ่งมาดปรารถนาตัดทอนงานขาดดุลเชิงพาณิชย์กับดักจีนของผู้ปกครองทรัมป์ เป็นเหตุให้ข้อเสนอแนะความเสี่ยงศึกสงครามการขายอเมริกา ด้วยกันเมืองจีนยังคงมีแนวโน้มที่จะรุนแรงอีกต่างหากมีสิงสู่ อย่างไรก็ตาม แม้มองเห็นดุมาตรการกั้นเชิงพาณิชย์มีผลแจะหนักหน่วงดามเศรษฐกิจสหรัฐอเมริกา ผู้ปกครองทรัมป์อาจจะมีท่วงท่าลดความรุนแรงลง ด้วยเหตุที่การขึ้นภาษีขาเข้าของซื้อของขายประเทศจีนในที่ว่างถัดไปมีแนวโน้มแตะกลุ่มผลิตภัณฑ์อุปโภคกินในส่วนสัดดอนกว่างานขึ้นไปภาษีอากรในรอบที่ผ่านมา การออกลูกร่างกฎหมายนวชาตมีแนวโน้มยืดเยื้อกับเปลืองเวลาที่งานพูดจา รวมทั้งทวีการเสี่ยง government shutdown ในที่ว่างต่อไป กับฝ่ายบริหารมีแนวโน้มบัญชาเยี่ยมเพราะว่าไม่เปลี่ยนสภาพรรคคองเกรสเติบโต พอพรรคเดโมแครตได้มาเสียงข้างมากที่สภาผู้แทนราษฎร ขณะเมื่อกลุ่มรีพับลิกันครอบครองเสียงส่วนมากณสภาขุนนาง ทำให้กฎหมายแห่งผ่านสภาผู้แทนราษฎรมีโอกาสไม่ผิดสลัดตกในสภาขุนนางสูงขึ้นไป ฉะนั้นการออกพระราชกำหนดคราวหลังการเลือกตั้งจะมีแนวโน้มจำต้องใช้การประนีประนอมห้ามในที่ประชุมคองเกรสจำเริญ ซึ่งถ้าหมู่รีพับลิกันประสงค์จ่ายร่างกฎหมายถือสิทธิ์ความเห็นพอใจในสภาผู้แทนราษฎรคงต้องแลกเปลี่ยนกับงานหยวนแก้ไขรายละเอียดบางส่วนไม่ก็แจกร่างกฎหมายแห่งหนเสนอเพราะพรรคเดโมแครตเปลี่ยนเสียงชอบณสภาขุนนาง เป็นไปในหลักการถ่วงอำนาจต่อกัน แต่ว่าจักมีผลให้การผ่านร่างกฎหมายนวชาตในสภาคองเกรสมีความชักช้ากระทั่งช่วง 2 ชันษาที่ผ่านมา ทำให้มีแนวโน้มที่ผู้ปกครองทรัมป์จักแก้ปัญหาด้วยขบวนการใช้คำสั่งเยี่ยมว่าการหน่วยงานรัฐโดยตรงภายใต้อำนาจสิ่งของฝ่ายบริหารแห่งหนไม่ต้องผ่านงานเห็นดีจากที่ประชุมพรรคคองเกรส กระนั้นก็ตาม โปร่งนโยบายที่ยังคงต้องผ่านที่ประชุมพรรคคองเกรสมีแนวโน้มใช้เวลานานขึ้นไปด้วยกันประกอบด้วยความไม่แน่นอน อาทิ นโยบายการปรับปรุงภาษี และงบประมาณรายจ่ายภาครัฐบาล ซึ่งฝ่ายบริหารของผู้นำจะจำต้องทำงานมากขึ้นในการล็อบบี้นโยบายต่างๆ แม้มุ่งหมายให้ผ่านสภาผู้แทนราษฎร แนวนโยบายการปรับปรุงภาษีอากร (tax reform 2.0) ครอบครองแนวนโยบายที่บอกเพราะว่าก๊กรีพับลิกัน ซึ่งเน้นย้ำเรื่องขยายงานตัดทอนภาษีคนธรรมดากับเพิ่มค่าทำเนาเพื่อที่จะส่งเสริมงานบริโภค โดยในเรื่องเบ็ดเตล็ดก๊กรีพับลิกันมุ่งหมายให้การลดภาษีอากรตรงนั้นได้ผลลดต้นร่างอยู่ยืด (ขนมจากเดิมแห่งหนลดภาษีจนกระทั่งปี 2025 เพื่อ the Tax Cuts and Jobs Act of 2017) แต่ว่าพรรคเดโมแครตประกอบด้วยท่าทางไม่สงเคราะห์งานลดค่าธรรมเนียมเป็นการทนทาน การคลอดแผนการภาษีอากรด้านทวีนี้จึ่งคงจะผ่านพบความไม่สะดวกในการผ่านร่าขี้หวงฎแสดงที่สภาคองเกรส งบบัญชีค่าใช้จ่ายภาครัฐบาล มีความเสี่ยงแห่งหนที่ประชุมพรรคคองเกรสจะเปล่าสมรรถตกลงงบประมาณกับดักฝ่ายบริหารสรรพสิ่งผู้นำได้ตรงเวลาระยะเวลาไม่มีเงินนำไปสู่งานปิดกระทำสิ่งของหน่วยงานประเทศฯ (government shutdown) ซึ่งรวมทั้งข้อเสนอแนะการคลายเพดานหนี้สินทั่วไปของอเมริกา (US debt ceiling) ณชันษา 2019 ด้วย พรรคเดโมแครตจักหาทางตรวจสอบประธานาธิบดีเจริญ แต่ว่าความเสี่ยงประกบข้อเสนอแนะการปลดออกผู้นำมีความเป็นไปได้ต่ำในทางปฏิบัติ สภาผู้แทนราษฎรซึ่งมีพรรคเดโมแครตครองเสียงส่วนมากมีแนวโน้มตั้งคณะกรรมการเพื่อที่จะถามผู้ปกครอง เป็นพิเศษข้อคิดเรื่องงานหลบมุมภาษี และงานเกี่ยวข้องรู้เรื่องกับรัสเซียเพื่อที่จะแทรกแซงการเลือกตั้งผู้ปกครองอเมริกา ที่ปี 2016 อย่างไรก็ตาม ขั้นตอนถอดถอนผู้ปกครองอเมริกา จักจำเป็นต้องจ่ายสภาผู้แทนราษฎรลงคะแนนเสียงช่วยเหลือการถอดถอนเกินซีกของผู้แทนราษฎรทั้งหมด แล้วส่งคดีแจกวุฒิสภาลงมติเห็นดีเห็นชอบอย่างน้อย 2 ณ 3 สรรพสิ่งวุฒิสมาชิกทั้งหมด ตราบใดที่หมู่รีพับลิกันยังคงครอบครองเสียงส่วนใหญ่ณสภาขุนนางและเปล่าร่วมมือ ความเสี่ยงการปลดออกประธานาธิบดีจักต่ำด้วยกันมีเป็นได้ทุในทางปฏิบัติ ขนาดที่ผู้แทนราษฎรซึ่งครองเสียงส่วนมากเพราะพรรคเดโมแครตจะบอกญัตติถอดถอนผู้ปกครองก็ตาม Implication แผนการเกียดกันการค้าขายสรรพสิ่งสหรัฐฯ โดยเฉพาะการขึ้นไปค่าธรรมเนียมสินค้านำเข้าประเทศจีนยังคงมีแนวโน้มมีผลแตะประกบเศรษฐกิจประเทศไทยผ่านการส่งออกไม่ว่างเว้นณปี 2019 งานดำเนินแผนการเกียดกันทางการค้ายังคงดำรงฐานะสิทธิสรรพสิ่งประธานาธิบดีทรัมป์ เป็นเหตุให้สงครามการค้าขายระหว่างอเมริกา และประเทศจีนยังคงเป็นข้อคิดที่จำเป็นต้องจับตามอง ดังที่ไทยประกอบด้วยพะวงเครื่องพันธนาการอุปาทานการผลิตผลิตภัณฑ์กับเมืองจีนเป็นพิเศษที่มากพวกสินค้า เช่น พลาสติก ต้นยางพารา แผงวงจรไฟฟ้า คอมพิวเตอร์และองค์ประกอบ เป็นต้น ด้วยกันถ้าเศรษฐกิจประเทศจีนเริ่มมีการชะลอเนื้อตัวจักเป็นเหตุให้การส่งออกแหลมทองมีแนวโน้มชะลอตัวลงติดตามการชะลอของเศรษฐกิจประเทศจีนซึ่งได้รับผลกระทบกระเทือนขนมจากสงครามการขาย แม้การเจรจาระหว่างอเมริกา ด้วยกันประเทศจีนสิ้นไร้ความจริง มีความน่าจะเป็นแห่งหนอเมริกา จักกระทำขึ้นภาษีอากรสินค้าเข้าขนมจากเมืองจีนประเทืองและการตอบโต้ขนมจากจีนจักยังคงมีสิงสู่ การทำงานไทยเครื่องยึดเหนี่ยวนำพาการส่งออกไปอีกต่างหากสหรัฐฯ กับเมืองจีนจำต้องแกะรอยทิศทางนโยบายการค้าสรรพสิ่งสหรัฐฯ ในระยะห่างข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะอาจจะมีการสัมมนา G20 นอกรอบระหว่างผู้ปกครองทรัมป์และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ที่อาร์เจนตินาซึ่งจัดขึ้นไปที่วันที่ 30 เดือนพฤศจิกายนตรงนี้ โดยรายการพูดเพื่อเยียวยาการขัดกันเชิงพาณิชย์ระหว่างอเมริกา และจีน PR NewsUSAEIC SCB

https://storage.googleapis.com/techsauce-prod/ugc/uploads/2020/2/EIC_1.1.png

https://storage.googleapis.com/techsauce-prod/ugc/uploads/2020/2/EIC_1.2.png